เล่นที่ลานวัด
ที่ต่างจากวัดในสมัยนี้คือ ในวัดสมัยนั้น แทบจะหาหญ้าขึ้นน้อยมาก สนาม หรือลานวัดส่วนใหญ่เป็น ทราย หรือหากมีหญ้าเกิดขึ้นมา ชาวบ้านจะช่วยกันดายหญ้าออก เรียกกันว่า "เดิ่นวัด" ใช้เป็นที่เล่นของเด็กๆ มักจะมีคำพูดของผู้ใหญ่พูดกันว่า "กินข้าวหมดนี่ พาน้องไปเล่นวัด" นั่นแสดงว่า ที่เล่นหรือลานอเนกประสงค์สมัยนั้นคือ ลานวัด นั่นเอง เมื่อพื้นเป็นทรายเกมที่เล่นจึงมีมากมาย ตั้งแต่ วิ่งเเล่นธรรมดา หนอนคู่ กระโดดยาง(เด็กหญิงเล่นมาก) กระโดดเชือก ไปจนถึงเตะเบี้ย
วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ของเล่นสนุกสุดมัน
เมื่อเอ่ยถึงของเล่นสมัยประถม ต้องบอกว่า ไม่ต้องลงทุน หรือลงทุนน้อยมาก
อย่างที่ 1 หนังยาง เป็นยางรัดของวงใหญ่ ประมาณสวมเข้าไปในแขนได้พอดี มีประมาณ สามสีคือ แดง เขียว และเหลือง วิธีการเล่น จะเรียกว่าพนันก็คงไม่ผิด แต่มันเป็นการฝึกทักษะหลายๆอย่าง จึงไม่ได้รับการห้ามมากนัก มีวิธีหลายวิธี พอเล่าสู่ฟังดังนี้ อย่างแรกคือยิงในร่อง คือทำดินให้เป็นร่องสามเหลี่ยม ที่ปลายทางของร่องเป็นมุมยอดของสามเหลี่ยม มีหลักที่ปลายหลุมใส่หนังยางไว้ และมีไม้เล็กรองยางไว้
จากนั้นผู้เล่นจะยิงหนังยางเขามาช้อนใต้กองหนังยาง หากยางกระเด็นออกจากหลักเท่าไหร่ก็จะได้ยางนั้นไป ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเลือยิงใกล้หรือไกล ผู้เลือกไกลสุดได้ยิงก่อน แต่ทุกคนต้องใช้จำนวนหนังยางที่ใช้ยิงเท่ากัน ตามที่ตกลงเอาไว้
อย่างที่ สอง คือการเป่ากบ อันนี้เชื่อว่าไม่ต้องอธิบาย
อย่างที่ 1 หนังยาง เป็นยางรัดของวงใหญ่ ประมาณสวมเข้าไปในแขนได้พอดี มีประมาณ สามสีคือ แดง เขียว และเหลือง วิธีการเล่น จะเรียกว่าพนันก็คงไม่ผิด แต่มันเป็นการฝึกทักษะหลายๆอย่าง จึงไม่ได้รับการห้ามมากนัก มีวิธีหลายวิธี พอเล่าสู่ฟังดังนี้ อย่างแรกคือยิงในร่อง คือทำดินให้เป็นร่องสามเหลี่ยม ที่ปลายทางของร่องเป็นมุมยอดของสามเหลี่ยม มีหลักที่ปลายหลุมใส่หนังยางไว้ และมีไม้เล็กรองยางไว้
จากนั้นผู้เล่นจะยิงหนังยางเขามาช้อนใต้กองหนังยาง หากยางกระเด็นออกจากหลักเท่าไหร่ก็จะได้ยางนั้นไป ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเลือยิงใกล้หรือไกล ผู้เลือกไกลสุดได้ยิงก่อน แต่ทุกคนต้องใช้จำนวนหนังยางที่ใช้ยิงเท่ากัน ตามที่ตกลงเอาไว้
อย่างที่ สอง คือการเป่ากบ อันนี้เชื่อว่าไม่ต้องอธิบาย
วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เรีิ่มเรียน เขียน อ่าน
อย่างที่ว่าในตอนที่แล้ว ว่า โรงเรียนใช้อาคารศาลาวัด เป็นอาคารเรียน ดังนั้น ศาลาวัดทั้งหลังจึงต้องใช้เป็นที่เรียนทุกชั้น จำได้ว่า เข้าไปครั้งแรก มีครูเพียง 3 ท่าน คือ คุณครูฉายจันทร์ นาชัย คุณครู ดวน บุตรแสน และคุณครูณรงค์ ทาอามาตย์ ซึ่งคนหลังเป็นครูใหญ่ และเป็นพ่อของเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง ดังนั้น ครูใหญ่จึงเป็นครูประจำชั้น ป.1 ซึ่งเป็นการสอนแบบเหมาสอนทั้งหมด ทุกวิชา ที่สมัยนั้น ที่จำได้ก็มีวิชาเลข วิชาคัดไทย วิชาอ่าน ส่วนชั้นโตขึ้นมาก็จะเพิ่มภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม ทั้งนี้ก็แล้วแต่ครูว่าจะสอนอะไรก่อนหลังในแต่ละวัน แต่สูตรสำเร็จ เลข-คัด-อ่าน ส่วนช่วงบ่ายก็จะมี พักย่อย หรือก็คือช่วงที่ลงไปเล่นเกม ไปร้องเพลง สนุกสนาน นั่นเอง
สำหรับเกมที่คุณครูนำมาเล่น จำได้อย่างหนึ่งที่ คุณพ่อ ณรงค์ (แต่สมัยนั้นเรียกว่า "คุณครู" หรือ "ครูใหญ่" เท่านั้น เล่นมากที่สุดคือ เกมชื่อ บนบก-บนน้ำ คือ การยืนเป็นวงกลม แล้ว ครูจะสั่งว่า "บนบก" คำสั่งนี้ ให้ยืนนิ่งๆ ใครกระดุกกระดิก หรือกระโดด ก็จะแพ้ ต้องออกจากกการแข่งขัน ส่วน คำสั่งว่า "บนน้ำ" ทุกคนต้องกระโดด ทำนองว่า หนีน้ำ ใครไม่กระโดด ก็แพ้ ต้องออกจากการแข่งขัน อีกนั่นเอง เป็นการเล่นเพื่อทดสอบสมาธิของผู้เล่น
เนื่องจากว่า ศาลาวัดที่มีหลังเดียว แต่ต้องมีนักเรียน 4 ชั้น คือ ป.1-4 ที่เป็นการศึกษาภาคบังคับสมัยนั้น ป.1 จะอยู่มุมตะวันออกเฉียงใต้ ป.2 อยู่ตะวันออกเฉียงเหนือ หน้าชุดโต๊ะหมู่บูชา ป.3 อยู่มุมตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ด้านนั้นไม่ใช่มุมพระสงฆ์ใช้ จึงอยู่ชั้นที่สูงขึ้นเเล็กน้อยได้ ส่วน ป.4 อยู่มุมตะวัันตกเฉียงใต้ นั่นเอง ดังนั้น ทุกเย็นก่อนเลิกเรียนหากมีการท่องสูตรคูณ ทุกคน ทุกชั้นจะท่องพร้อมกัน จงไม่แปลก ที่เด็ก ป.1 ก็ท่องได้เหมือน ป.4 สบายไป
หนักกว่านั้น เมื่อป.4 ท่องอาขยาย เราก็จะแอบได้ยิน และเรืิ่มท่องได้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นชั้น ป.4 เลยทีเดียว
สำหรับเกมที่คุณครูนำมาเล่น จำได้อย่างหนึ่งที่ คุณพ่อ ณรงค์ (แต่สมัยนั้นเรียกว่า "คุณครู" หรือ "ครูใหญ่" เท่านั้น เล่นมากที่สุดคือ เกมชื่อ บนบก-บนน้ำ คือ การยืนเป็นวงกลม แล้ว ครูจะสั่งว่า "บนบก" คำสั่งนี้ ให้ยืนนิ่งๆ ใครกระดุกกระดิก หรือกระโดด ก็จะแพ้ ต้องออกจากกการแข่งขัน ส่วน คำสั่งว่า "บนน้ำ" ทุกคนต้องกระโดด ทำนองว่า หนีน้ำ ใครไม่กระโดด ก็แพ้ ต้องออกจากการแข่งขัน อีกนั่นเอง เป็นการเล่นเพื่อทดสอบสมาธิของผู้เล่น
เนื่องจากว่า ศาลาวัดที่มีหลังเดียว แต่ต้องมีนักเรียน 4 ชั้น คือ ป.1-4 ที่เป็นการศึกษาภาคบังคับสมัยนั้น ป.1 จะอยู่มุมตะวันออกเฉียงใต้ ป.2 อยู่ตะวันออกเฉียงเหนือ หน้าชุดโต๊ะหมู่บูชา ป.3 อยู่มุมตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ด้านนั้นไม่ใช่มุมพระสงฆ์ใช้ จึงอยู่ชั้นที่สูงขึ้นเเล็กน้อยได้ ส่วน ป.4 อยู่มุมตะวัันตกเฉียงใต้ นั่นเอง ดังนั้น ทุกเย็นก่อนเลิกเรียนหากมีการท่องสูตรคูณ ทุกคน ทุกชั้นจะท่องพร้อมกัน จงไม่แปลก ที่เด็ก ป.1 ก็ท่องได้เหมือน ป.4 สบายไป
หนักกว่านั้น เมื่อป.4 ท่องอาขยาย เราก็จะแอบได้ยิน และเรืิ่มท่องได้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นชั้น ป.4 เลยทีเดียว
ป.1 โรงเรียนวัดบ้านคู Ipad สมัยก่อน
ว่ากันว่า โรงเรียนในอำเภอ "กระนวน" มีเพียง 2 โรงเรียนเท่านั้นที่เป็นโรงเรียนวัด สถานที่คือ ใช้อาคารศาลาวัด เป็นอาคารเรียน เมื่อนึกถึงศาลาวัด คร่าวๆว่า อาคารเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างราว 20 เมตร ยาวราว 30 เมตร สูงจากพื้นราว 1.60 เมตร แถวด้านทิศเหนือสุด จะยกสูงกว่าส่วนอื่นๆ ตลอดแนว เป็นที่สำหรับให้พระสงฆ์ นั่ง เวลาทำสังฆกรรม ไม่ว่าจะเป็น "ฉัน" อาหาร หรือเจริญพระพุทธมนต์ นอกจากนั้นก็เป็นที่ตั้งโต๊ะหมู่บูชา พระพุทธรูป และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในศาสนกิจของสงฆ์
ส่วนด้านล่าง คือ ต่ำลงมาราว15 เซนติเมตร เป็นที่นั่งสำหรับพุทธศาสนิกชน เมื่อเข้าเรียนในชั้น ป.1 นั้น ต้องนั่งพื้น หรือนั่งขัดสมาธิเรียนนั่นเอง แต่คุณพ่อก็ทำโต๊ะสำหรับเขียนให้ ก็ได้นั่งขัดสมาธิเขียน แต่เพื่อเราบางคน หรือส่วนใหญ่ ต้องนั่งกับพื้นและวาง กระดานเขียน บนพื้น
ส่วนด้านล่าง คือ ต่ำลงมาราว15 เซนติเมตร เป็นที่นั่งสำหรับพุทธศาสนิกชน เมื่อเข้าเรียนในชั้น ป.1 นั้น ต้องนั่งพื้น หรือนั่งขัดสมาธิเรียนนั่นเอง แต่คุณพ่อก็ทำโต๊ะสำหรับเขียนให้ ก็ได้นั่งขัดสมาธิเขียน แต่เพื่อเราบางคน หรือส่วนใหญ่ ต้องนั่งกับพื้นและวาง กระดานเขียน บนพื้น
สำหรับเครื่องเขียนก็มีเพียง "กระดานชนวน" กับดินสอเขียนกระดานชนวนเท่านั้น สำหรับกระดานชนวน ทราบภายหลังว่าทำมาจากหินดินชนวน เป็นหินแปร ที่แปรมาจากหินดินดาน มีลักษณะสีเท่า ถูกทำให้เป็นแผ่นกว้างราว 8 นิ้ว ยาวราว 12 นิ้ว ใช้ไม้เนื้ออ่อนทำเป็นกรอบเอาไว้กันแตก (แต่ก็แตกง่ายเหมือนเดิม) เวลาเขียนก็ใช้ดินสินเขียนกระดานชนวนที่ทำมาจากหินชนิดเดียวกัน เพียงแต่ทำเป็นแท่งเท่านั้น เมื่อเขียนเสร็จ นำส่งคุณครูเพื่อตรวจแล้ว กลับมาอาจมาปลื้มใจในคะแนนสักครู่หนึ่งได้ แต่เมื่อครูให้ทำงานใหม่เราต้องใช้ผ้าหรือกระดาษ ลบข้อความนั้นออกแล้วเขียนใหม่ แต่ไม่ต้องใช้นำล้างเพราะหากใช้น้ำ จะทำให้กระดานเปียก แล้วเขียนไม่ได้ ต้องรอให้แห้งจึงจะเขียนได้ ประมาณว่า การเขียน คือการใช้หินขัดถูกันทำให้เกิดเป็นรอย ขุย ของการขีดเขียนนั่นเอง บางคนใช้เหล็ก (ตะปู) แทนดินสอ ก็ได้ แต่จะทำให้กระดานสึกเป็นรอยง่ายขึ้น โอ้..โฮ... Ipad สมัยก่อน เท่ไม่น้อยนะครับ
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555
พ่อพระของลูก
เมื่อเอ่ยถึง "คุณพ่อ" ฉันก็ต้องนึกถึงผู้ชายตัวเล็กๆ ไม่สูงมากนัด คล่องแคล่ว ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า "พ่อใหญ่จารย์คูณ" คำว่า "จารย์" ทราบภายหลังว่า หมายถึงคนที่บวชในพระพุทธศาสนา ศึกษาเล่าเรียนธรรมะ ระยะหนึ่ง ตามจริงแล้วควรจะหลายพรรษา จนเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน จากนั้นมติของชาวบ้านพุทธศาสนิกชนเห็นชอบ ก็จะทำพิธีสรงน้ำ ภาษาอีสาน เรียกว่า "หด" หรือ "หดสรง" จากนั้นหากเป็นพระก็จะมีคำว่า "จารย์ครู" นำหน้าชื่อ หากสึกจากพระมาก็ยังคงเรียก "จารย์...." นำหน้าชื่อนั่นเอง จึงเชื่อได้ว่า พ่อจารญ์คูณ จะต้องเป็นผู้ที่เป็นนักบวชคนหนึ่งทีเดียว แต่นั่นคือการสันนิษฐาน เท่านั้น แต่หลักฐานที่ยืนยันแน่นอนว่า คุณพ่อจารย์คูณ เป็นคนธรรมะ ธรรโม ก็คือ ฉันได้เห็นคำสั่งแต่งตั้ง ไวยวัจรกร แม้จะมีบางครั้ง หลายคนอยากทำหน้าที่นี้ แต่ก็ไม่มีใครแทนที่พ่อได้ ทุกเช้าพ่อจะต้องไปวัด นำชาวบ้านไหว้พระ ขอศีล ขอพร ทุกวัน เรียกว่าไม่เคยเว้น นอกจากมีภาระกิจอื่นๆ
ส่วนในช่วงตอนเย็น สิ่งที่เห็นประจำคือ ชาวบ้านจะมาขอร้องให้ไปทำขวัญ หรือ ภาษาถิ่นเรียกว่า "แต่งแก้" (คือแก้จากการที่จะมีเคราะห์ ให้มีโชคแทน) ทางภาษากลางอาจเรียกว่า สะเดาห์เคราะห์ หรือบางวันก็อาจเรียกว่า "เสียเคราะห์" ถือว่าเป็นที่พึ่งของชาวบ้านอย่างแท้จริง เพราะการทำของท่าน ไม่หวังผลตอบแทนแต่อย่างใด ค่าตอบแทนอาจเป็นแค่ ไก่ต้มฟองหนึ่งดอกไม้ธูปเทียน เท่านั้นก็พอแล้ว มาคิดถึงทุกวันนี้ หากพ่อจารย์คูณ มีชีวิตอยู่ในสมัยนี้ คงจะมีค่ากับข้าวอย่างไม่เดือดร้อยแน่นอน เพราะเห็นทุกวันนี้ ครั้งละเป็น ห้าร้อย เป็นพัน ก็มี แล้วงานมากอย่าคุณพ่อทำสมัยนั้น แทบหาวันว่างไม่มี อุปกรณ์ของพ่อคือ หนังสือใบลานหนึ่งผูก แล้วแต่ว่าเป็นงานอะไร
ถือได้ว่าความเคารพนับถือของชาวบ้านและการเป็นตัวอย่างที่ดีจึงทำให้ชาวบ้านยอมรับ ตลอดที่ฉันเกิดมา ฉันไม่เคยเห็นพ่อใหญ่จารย์คูณ เมาเหล้าแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยเห็นยกเหล้าขึ้นดื่มเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ท่านน่าจะมีโอกาสมาก ทุกหลังคาบ้านที่ทำบุญทุกอย่าง ตั้งแต่บุญสู่ขวัญข้าว ก่อนเปิดเล้าข้าว พ่อใหญ่จารย์คูณ ก็จะเป็นหมอสู่ขวัญข้าว แทบทุกหลังคาทีเดียว ช่วงนั้นราวเดือนสาม ก็จะพลอยโชคดี ได้กินต้มไก่ ที่เขานำมาเป็นเครื่องสังเวย หรือเรียกว่า "คาย" อยู่บ้างเท่านั้น
ส่วนบุญอุทิศ หรือ บุญแจกข้าว ทุกบ้าน พ่อใหญ่จารย์คูณ จึงได้เป็น โฆษก ประจำงานทุกงาน สมัยนั้น เครื่องขยายเสียงมีไม่กี่เจ้า มีเจ้าหนึ่ง ชื่อพ่อใหญ่บิน* (จะได้กล่าวถึงคนนี้อีกภายหลัง) จะเปิดเพลงประจำของแกอยู่เพลงหนึ่ง เรียกว่าพอเดินสายไฟเสร็จ แล้วเพลงแรกที่แกจะเปิดคือ เพลง "น้ำท่วม" ของศรคีรี ศรีประจวบ เป็นอันดับแรกทุกครั้ง
เครื่องเสียงสมัยก่อนเปิดเพลงโดยใช้แผ่นเสียง เท่านั้น ไม่มีเทปคัสเซส แผ่นเสียงทำมาจากแผ่นครั่ง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 10 นิ้ว หน้าหนึงอาจใส่แค่เพลงเดียว คุณภาพเสียงพอใช้ได้ทีเดียว แต่ต้องรักษาให้ดี อย่าให้มีรอย เพราะหากมีรอย เข็มอาจกระโดด วนเนื้อเดิม หรือ ข้ามข้อความไปก็มี
มาว่ากันต่อ พ่อใหญ่จารย์คูณ เป็นคนพูดอย่าเดียว ส่วนว่าจะเป็นแบบแถมพร ทำนองสรภัญญ์ เจ้าภาพต้องหาหรือจ้างมาต่างหาก
จึงสรุปว่าคุณพ่อ หรือที่ชาวบ้านเรียก "พ่อใหญ่จารย์คูณ" จึงเป็นพังพ่อพระของฉัน หรือของครอบครัวเรานั้นเอง
ส่วนในช่วงตอนเย็น สิ่งที่เห็นประจำคือ ชาวบ้านจะมาขอร้องให้ไปทำขวัญ หรือ ภาษาถิ่นเรียกว่า "แต่งแก้" (คือแก้จากการที่จะมีเคราะห์ ให้มีโชคแทน) ทางภาษากลางอาจเรียกว่า สะเดาห์เคราะห์ หรือบางวันก็อาจเรียกว่า "เสียเคราะห์" ถือว่าเป็นที่พึ่งของชาวบ้านอย่างแท้จริง เพราะการทำของท่าน ไม่หวังผลตอบแทนแต่อย่างใด ค่าตอบแทนอาจเป็นแค่ ไก่ต้มฟองหนึ่งดอกไม้ธูปเทียน เท่านั้นก็พอแล้ว มาคิดถึงทุกวันนี้ หากพ่อจารย์คูณ มีชีวิตอยู่ในสมัยนี้ คงจะมีค่ากับข้าวอย่างไม่เดือดร้อยแน่นอน เพราะเห็นทุกวันนี้ ครั้งละเป็น ห้าร้อย เป็นพัน ก็มี แล้วงานมากอย่าคุณพ่อทำสมัยนั้น แทบหาวันว่างไม่มี อุปกรณ์ของพ่อคือ หนังสือใบลานหนึ่งผูก แล้วแต่ว่าเป็นงานอะไร
ถือได้ว่าความเคารพนับถือของชาวบ้านและการเป็นตัวอย่างที่ดีจึงทำให้ชาวบ้านยอมรับ ตลอดที่ฉันเกิดมา ฉันไม่เคยเห็นพ่อใหญ่จารย์คูณ เมาเหล้าแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยเห็นยกเหล้าขึ้นดื่มเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ท่านน่าจะมีโอกาสมาก ทุกหลังคาบ้านที่ทำบุญทุกอย่าง ตั้งแต่บุญสู่ขวัญข้าว ก่อนเปิดเล้าข้าว พ่อใหญ่จารย์คูณ ก็จะเป็นหมอสู่ขวัญข้าว แทบทุกหลังคาทีเดียว ช่วงนั้นราวเดือนสาม ก็จะพลอยโชคดี ได้กินต้มไก่ ที่เขานำมาเป็นเครื่องสังเวย หรือเรียกว่า "คาย" อยู่บ้างเท่านั้น
ส่วนบุญอุทิศ หรือ บุญแจกข้าว ทุกบ้าน พ่อใหญ่จารย์คูณ จึงได้เป็น โฆษก ประจำงานทุกงาน สมัยนั้น เครื่องขยายเสียงมีไม่กี่เจ้า มีเจ้าหนึ่ง ชื่อพ่อใหญ่บิน* (จะได้กล่าวถึงคนนี้อีกภายหลัง) จะเปิดเพลงประจำของแกอยู่เพลงหนึ่ง เรียกว่าพอเดินสายไฟเสร็จ แล้วเพลงแรกที่แกจะเปิดคือ เพลง "น้ำท่วม" ของศรคีรี ศรีประจวบ เป็นอันดับแรกทุกครั้ง
เครื่องเสียงสมัยก่อนเปิดเพลงโดยใช้แผ่นเสียง เท่านั้น ไม่มีเทปคัสเซส แผ่นเสียงทำมาจากแผ่นครั่ง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 10 นิ้ว หน้าหนึงอาจใส่แค่เพลงเดียว คุณภาพเสียงพอใช้ได้ทีเดียว แต่ต้องรักษาให้ดี อย่าให้มีรอย เพราะหากมีรอย เข็มอาจกระโดด วนเนื้อเดิม หรือ ข้ามข้อความไปก็มี
มาว่ากันต่อ พ่อใหญ่จารย์คูณ เป็นคนพูดอย่าเดียว ส่วนว่าจะเป็นแบบแถมพร ทำนองสรภัญญ์ เจ้าภาพต้องหาหรือจ้างมาต่างหาก
จึงสรุปว่าคุณพ่อ หรือที่ชาวบ้านเรียก "พ่อใหญ่จารย์คูณ" จึงเป็นพังพ่อพระของฉัน หรือของครอบครัวเรานั้นเอง
วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เริ่มจำความได้
ทุ่งนาที่อยู่ตรงหน้าบ้าน มีชื่อเรียกว่า "หนองอี่โง่ง" ออกเสียงเป็น โทงอีโง่ง อาจจะมีที่มาจากมันมีรูปโค้ง หรือโง้ง นั่นเอง เป็นหนองขนาดเล็ก ไม่ลึกมากนัก ประมาณว่าสามารถปลูกข้าวได้เกือบทั้งหนอง ข้อดีของทุ่งแห่งนี้คือ น้ำจากหมู่บ้านไหลมาลงที่นี่เกือบครึ่งหมู่บ้าน ทำให้ดีนดี อุดมสมบูรณ์ ต้นข้าวต้องปักดำให้ห่างกันไว้ เพราะมันจะแตกกอ ดีมาก นอกจากนั้นยังมีพืชน้ำขนาดเล็ก เรียกเป็นภาษาถิ่นว่า "หังเหย" พืชน้ำขนาดเล็กที่ลอยเต็มผิวน้ำ บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ ของแหล่งน้ำนั่นเอง แต่เมื่อถึงหน้าแล้ง ทุ่งแห่งนี้ก็เป็นสนามเด็กเล่น ไปโดยปริยาย แต่ต้องอยู่เฉพาะใกล้บ้านเท่านั้น เพราะไกลออกไป ไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง เพราะตอนค่ำชาวบ้านบางคนจะใช้ทุ่งแห่งนี้ เป็นสุขา เพื่อปลดทุกข์ อย่างไม่อายใคร ส่วนมากก็อาศัยตารอยของควายนั่นเอง นั่นคือยุกนั้น ส้วม ยังมีไม่ครบทุกครัวเรือน
บ้านหลังนั้นถือว่าเป็นบ้านหลังใหญ่พอควรทีเดียว มีนอกชาน ที่รวมกับเรือนครัว ที่ใหญ่ประมาณครอบครัวของบางบ้านในทุกวันนี้ ครัวเป็นหลังที่กว้างใหญ่พอสมควร มีกี่ไฟ เป็นประมาณกรอบไม้สี่เหลี่ยมกว้างยาวราวหนึ่งเมตร ใส่ดินหรือขี้เฒ่าไว้ เพื่อใช้ตั้ง ก้อนเส้า หรือเตาไฟ ซึ่งต้องใช้เตาถ่านหรือใช้ฟืนก็ได้ ในครัวจึงมีอุปกรณ์การครัว ส่วนปลายสุดของครัวจะเป็น ฮ้านแอ่งน้ำ หรือก็คือ ที่สำหรับตั้งหม้อหรือตุ่มน้ำขนาดย่อม ที่ทำด้วยดินเหนียว ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ที่ใช้ดินมาปั้นหม้อใส่น้ำ ดินที่เผาจนสุกจึงแข็งพอใสน้ำได้ แต่พอน้ำซืมออกมาด้านนอก ก็ระเหยกลายเป็นไอ การระเหยจะต้องอาศัยความร้อนส่วนหนึ่งนั่นคือ จะทำให้น้ำในแอ่ง หรือ หม้อ นั้นเย็นได้นั่นเอง
สำหรับภาชนะที่ตักน้ำหรือที่เรียกว่า "กระบวย" ทำมาจากกะลามะพร้าว เลือกที่แก่จัด ขุดเอาเนื้อออกให้หมด ผิวด้านนอกขูดให้เรียบ จากนั้นมีคันกระบวย ที่มักจะทำเป็นที่จับ คนที่มีศิลปะก็จะทำเป็นคันที่โค้งงออ่อนช้อย ตามด้วยการสลักหรือทำเป็นลวดลาย ตามแต่ใครจะมีศิลป์ในการออกแบบ
มีเรื่องเล่าว่าเจ้าของบ้านหลังหนึ่ง ต้อนรับแขกด้วยการให้กินมะขามป้อมก่อน แล้วค่อยให้ดื่มน้ำ ด้วย กระบวย เนื่องจากมะขามป้อมมีรสฝาดอมหวาน แต่พอไปดื่มน้ำ น้ำจะมีรสหวาน แขกที่มาเข้าใจผิดคิดว่ารสหวานเกิดจากกระบวยอันนั้น จึงออกปากขอซื้อกระบวยนั้นไปในราคาที่แพงพอควรทีเดียว
แต่ "ฮ่านแอ่งน้ำ" ของบ้านนี้อาจอยู่ไกลนิดหนึ่ง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ต้องเดินไปนิดหนึ่ง ส่วนธรรมเนียมของบ้านเรา เมื่อแม่หากับข้าวเสร็จ แม่หรือลูกๆ ก็จะเอาขันตักน้ำมาเตรียมไว้ให้พ่อคนเดียวเท่านั้น แต่ก็มีบางครั้งนะที่ ถ้าพ่ออิ่มก่อน แล้วเราอิ่มหลัง ก็พลอยได้ประโยชน์จากนันน้ำของพ่อด้วย แต่สำหรับตอนค่ำมันอาจจะมืดไปนิดหนึ่ง แต่ด้วยความเคยชิน หลับตาเดิมก็คงจะพอไปถึงน้ำดื่มได้อยู่แล้ว
แม่เล้าว่า เย็นวันหนึ่ง พี่ชายคนติดกับฉันนี่แหละ อิ่มแล้วก็จะออกไปดื่มน้ำ พอดีกับมีแมวตัวหนึ่งมันเข้ามาในครัว พี่ชายก็ตกใจกระโดดกลับเข้าบ้าน แมวเองก็ตกใจไม่น้อย มันก็รีบวิ่งหนี เสียงร้องด้วยความตกใจ พร้อมกับการกระโดดกลับ ว่า "อี่แม่....แมวย้านข้อย" ทำนองว่า แมวกลัวตัวเองแล้ววิ่งหนี ทั้งที่ตนเองก็กระโดดกลับเข้าบ้านแทบไม่ทัน (ฮ่าๆๆๆ แอบนินทาพี่ตัวเอง)
บ้านหลังนั้นถือว่าเป็นบ้านหลังใหญ่พอควรทีเดียว มีนอกชาน ที่รวมกับเรือนครัว ที่ใหญ่ประมาณครอบครัวของบางบ้านในทุกวันนี้ ครัวเป็นหลังที่กว้างใหญ่พอสมควร มีกี่ไฟ เป็นประมาณกรอบไม้สี่เหลี่ยมกว้างยาวราวหนึ่งเมตร ใส่ดินหรือขี้เฒ่าไว้ เพื่อใช้ตั้ง ก้อนเส้า หรือเตาไฟ ซึ่งต้องใช้เตาถ่านหรือใช้ฟืนก็ได้ ในครัวจึงมีอุปกรณ์การครัว ส่วนปลายสุดของครัวจะเป็น ฮ้านแอ่งน้ำ หรือก็คือ ที่สำหรับตั้งหม้อหรือตุ่มน้ำขนาดย่อม ที่ทำด้วยดินเหนียว ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ที่ใช้ดินมาปั้นหม้อใส่น้ำ ดินที่เผาจนสุกจึงแข็งพอใสน้ำได้ แต่พอน้ำซืมออกมาด้านนอก ก็ระเหยกลายเป็นไอ การระเหยจะต้องอาศัยความร้อนส่วนหนึ่งนั่นคือ จะทำให้น้ำในแอ่ง หรือ หม้อ นั้นเย็นได้นั่นเอง
สำหรับภาชนะที่ตักน้ำหรือที่เรียกว่า "กระบวย" ทำมาจากกะลามะพร้าว เลือกที่แก่จัด ขุดเอาเนื้อออกให้หมด ผิวด้านนอกขูดให้เรียบ จากนั้นมีคันกระบวย ที่มักจะทำเป็นที่จับ คนที่มีศิลปะก็จะทำเป็นคันที่โค้งงออ่อนช้อย ตามด้วยการสลักหรือทำเป็นลวดลาย ตามแต่ใครจะมีศิลป์ในการออกแบบ
มีเรื่องเล่าว่าเจ้าของบ้านหลังหนึ่ง ต้อนรับแขกด้วยการให้กินมะขามป้อมก่อน แล้วค่อยให้ดื่มน้ำ ด้วย กระบวย เนื่องจากมะขามป้อมมีรสฝาดอมหวาน แต่พอไปดื่มน้ำ น้ำจะมีรสหวาน แขกที่มาเข้าใจผิดคิดว่ารสหวานเกิดจากกระบวยอันนั้น จึงออกปากขอซื้อกระบวยนั้นไปในราคาที่แพงพอควรทีเดียว
แต่ "ฮ่านแอ่งน้ำ" ของบ้านนี้อาจอยู่ไกลนิดหนึ่ง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ต้องเดินไปนิดหนึ่ง ส่วนธรรมเนียมของบ้านเรา เมื่อแม่หากับข้าวเสร็จ แม่หรือลูกๆ ก็จะเอาขันตักน้ำมาเตรียมไว้ให้พ่อคนเดียวเท่านั้น แต่ก็มีบางครั้งนะที่ ถ้าพ่ออิ่มก่อน แล้วเราอิ่มหลัง ก็พลอยได้ประโยชน์จากนันน้ำของพ่อด้วย แต่สำหรับตอนค่ำมันอาจจะมืดไปนิดหนึ่ง แต่ด้วยความเคยชิน หลับตาเดิมก็คงจะพอไปถึงน้ำดื่มได้อยู่แล้ว
แม่เล้าว่า เย็นวันหนึ่ง พี่ชายคนติดกับฉันนี่แหละ อิ่มแล้วก็จะออกไปดื่มน้ำ พอดีกับมีแมวตัวหนึ่งมันเข้ามาในครัว พี่ชายก็ตกใจกระโดดกลับเข้าบ้าน แมวเองก็ตกใจไม่น้อย มันก็รีบวิ่งหนี เสียงร้องด้วยความตกใจ พร้อมกับการกระโดดกลับ ว่า "อี่แม่....แมวย้านข้อย" ทำนองว่า แมวกลัวตัวเองแล้ววิ่งหนี ทั้งที่ตนเองก็กระโดดกลับเข้าบ้านแทบไม่ทัน (ฮ่าๆๆๆ แอบนินทาพี่ตัวเอง)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)